สมองซีกซ้าย คือ สมองส่วนของการตัดสิน ทำหน้าที่ในเรื่องของการใช้ภาษา การเขียน การอ่าน ทักษะด้านตัวเลข การใช้เหตุผล การควบคุม การพูด ทักษะด้านวิทยาศาสตร์ การควบคุมการทำงานของมือขวา 

สมองซีกขวา คือ สมองส่วนของการสร้างสรรค์ ทำหน้าที่ในเรื่องของศิลปะ ความเข้าใจการเห็นภาพสามมิติ ความรู้สึกดื่มด่ำต่อศิลปะ ความมีสุนทรียะด้านดนตรี เพลง และการใช้จินตนาการในการดำเนินชีวิต รวมทั้งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของมือซ้าย

จากคำกล่าวที่ว่า 

ถ้าเราหยุดนิ่ง เราก็ไม่จำเป็นต้องมีสมอง

สอดคล้องกับความคิดที่ว่า มนุษย์เราถูกสร้างมาเพื่อวิ่ง บรรพบุรุษของเรามีสมองที่ใหญ่เอาไว้วิ่งหนีผู้ล่า ซึ่งแต่ก่อนการใช้ชีวิตค่อนข้างลำบากไม่เหมือนปัจจุบันนี้ มนุษย์สมัยก่อนวิ่งไล่ฆ่าเหยื่อ แต่น่าเสียดายที่ชีวิตในปัจจุบันเราไม่ได้ใช้สมองหรือร่างกายทำในสิ่งที่ถนัดที่สุด

ความรู้สึกหรืออารมณ์คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกถึงการมีชีวิต บางคนอาจจะไม่ได้ควบคุมหรือจัดการอารมณ์ให้ดี ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล หรือไม่ปล่อยให้มีช่องว่างระหว่าง การกระตุ้นและการตอบสนอง ไม่ได้คิดก่อนทำ

ความเป็นผู้ใหญ่คือการที่เรารู้จักคิดก่อนทำ สิ่งสำคัญคือ มันเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงระหว่าง การกระตุ้นและการตอบสนอง

จากการศึกษาของนักประสาทวิทยา ที่ University of Utah เค้าสแกนสมองของคนทั้งหมด 1011 คน อายุตั้งแต่ 7 ถึง 29 ปี ในขณะที่นอนนิ่งๆ หรืออ่านหนังสือ เค้าสแกนสมองในแต่ละพิ้นที่ทั้งหมด 7000 ส่วน แต่ก็ไม่พบหลักฐานว่าสมองซีกซ้ายหรือซีกขวาจะมีกิจกรรมเกิดขึ้นมากกว่ากัน และอีกงานวิจัยที่พบว่า สมองซีกซ้ายก็มีการทำงานในขณะที่ทำกิจกรรมสร้างสรรค์เช่นกัน

สำหรับกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะการคำนวณ งานวิจัยนี้ก็ทำให้รู้ว่า สมองไม่ได้แยกทำงานทีละซีก แต่ทำงานเป็นหนึ่งเดียวร่วมกัน ทักษะทางด้านคณิตศาสตร์จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อสมองทั้งสองซีกทำงานร่วมกัน เด็กที่เก่งคณิตศาสตร์ไม่ใช่เพราะเกิดมาพร้อมกับฟังก์ชันคำนวณในสมอง แต่เกิดจากการที่สมองซีกขวามีส่วนช่วยเหลือในด้านจินตนาการและการกะระยะห่าง

ความเชื่อแบบเดิม ๆ มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายมากนัก ถ้าเรามองว่าตัวเราสามารถพัฒนาขึ้นได้อีก เช่น คนถนัดใช้สมองซีกซ้ายพยายามพัฒนาทักษะของสมองซีกขวา แต่มันจะเกิดผลเสียถ้าหากว่าเราทำแบบทดสอบแล้วค้นพบว่าเราเป็นคนใช้สมองซีกขวา แล้วมันทำให้เราทิ้งคณิตศาสตร์ หรือไม่สนใจเรียนวิทยาศาตร์เพียงเพราะว่า ตัวเองเป็นคนคิดสร้างสรรค์และเปลี่ยนไปเรียนศิลปะแทน

IQ, Knowledge และ Perspective

IQ คือความฉลาด ระดับสติปัญญา Knowledge คือความรู้ สิ่งที่เราหรือคนอื่นๆ รู้ ส่วน Perspective หรือ Point of view คือมุมมอง มองในภาพรวม มองลึกลงไป

หลายคนอาจจะสนใจที่ IQ มากกว่า คือให้ฉลาดไว้ก่อน ถ้ามี IQ แต่ไม่มีความรู้ ถ้ามีศักยภาพแต่ขาดทักษะ เราก็พลาดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้

อย่างที่ Alan Kay พูดเอาไว้ว่า ความรู้ ชนะ ความฉลาด Henry Ford ประสบความสำเร็จมากกว่า Leonardo da Vinci ไม่ใช่เพราะฉลาดกว่า แต่เป็นเพราะความรู้ที่สะสม ความรู้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ ที่ Leonardo ได้แต่ฝันถึง

ถ้าเรามี IQ เป็น 2 เท่าของ Leonardo แต่เราอาศัยอยู่ในช่วงเวลา 10000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เราคิดว่าจะประสบความสำเร็จ เราจะไปได้ไกลแค่ไหน

A change in perspective is worth 80 IQ points. Perspective is worth 80 IQ points. Point of view is worth 80 IQ points.—Alan Kay

และสิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือ Perspective มุมมองที่ช่วยให้เราคิด เช่นเดียวกับที่ Isaac Newton ทำไว้ เค้าเปลี่ยนความคิดของคนในยุคนั้น เปลี่ยนมุมมอง ยกระดับความคิดที่มีในตอนนั้น ทำให้คนมองโลกในแบบใหม่ ทำให้วิทยาการก้าวกระโดดไปไกล

If I have seen further it is by standing on the shoulders of Giants.—Isaac Newton

News คือข่าว เรื่องราวที่เกิดขึ้น สิ่งที่เราคุ้นเคยในตอนนั้น ส่วน New คือสิ่งใหม่ สิ่งที่เราไม่รู้ สิ่งที่เรามองไม่เห็น คือการเรียนรู้ และการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่เรามองไม่เห็น
 และสมองของเราก็ทำหน้าที่เติมสิ่งที่ขาดหายไป เราจะไม่เห็นมัน จนกว่าเราจะยอมรับว่า เรามองไม่เห็น และสิ่งที่เรามองเห็น ลึกๆ ภายในมันก็ยังมีหลายสิ่งแอบซ่อนอยู่

ไอน์สไตน์ในตอนเด็กๆ เคยได้รับเข็มทิศจากพ่อ มันเป็นอุปกรณ์ที่จุดประกายความคิด จินตนาการและความอัจฉริยะ พยายามเปลี่ยนให้เข็มชี้ไปทางอื่น สุดท้ายมันก็จะชี้ไปทางทิศเหนือ มันทำให้ไอน์สไตน์เข้าใจว่า มันมีแรงบางอย่างซ่อนอยู่ที่ผลักดันทำให้เข็มชี้ไปทางทิศเหนือ มันมีอะไรมากกว่าสิ่งที่ตาเราเห็น

ความสำเร็จของไอน์สไตน์ไม่ได้เกิดจากพรสววรรค์ ของขวัญที่ติดตัวมาแต่เกิด แต่เพราะเป็นคนช่างคิดช่างสงสัย ไม่ใช่เพราะความฉลาด แต่เป็นเพราะ อดทนและพยายามมากกว่าใครๆ

พรสวรรค์

งานวิจับพบว่าสมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ Neural Pathway สามารถสร้างใหม่ได้ และ IQ ก็ไม่ได้ถูกจำกัดตายตัว ในชั้นประถมเราอาจจะเรียนเก่ง เรียนรู้เร็วกว่าเพื่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าจบมัธยมเราจะยังเป็นที่หนึ่งเสมอไป

ศาตราจารย์ Deborah Eyre ผู้เขียนหนังสือ Great Minds and How to Grow Them นำเสนองานวิจัยทางประสาทวิทยาและจิตวิทยา เค้าแนะนำว่า คนทั่วไปสามารถพัฒนาตนเองได้ถึงระดับเดียวกับคนที่มีพรสวรรค์ แต่ต้องเรียนรู้ทัศนคติที่ถูกต้อง และเรียนรู้ด้วยแนวทางที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาความสามารถให้ดีที่สุด จะต้องมีความอยากรู้อยากเห็น มีความพยายาม ไม่ท้อแท้ และจะต้องได้รับการสนับสนุนทั้งจากที่บ้านและโรงเรียน

ศาตราจารย์ Anders Ericsson ผู้เขียนหนังสือ Peak: Secrets from the New Science of Expertise ได้วิจัยย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1980 คนที่ประสบความสำเร็จหลากหลายอาชีพ ทั้งทางด้านดนตรี กีฬา ความสามารถในการจำ เค้าไม่คิดว่าพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอันใดที่จะเป็นองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ เห็นจะมีแต่การตั้งใจฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง นับหมื่นชั่วโมงเท่านั้นแหล่ะ ที่จะทำให้เรากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ แม้กระทั่งคนธรรมดาที่ฝึกฝนเรื่องความจำ สุดท้ายแล้วก็สามารถเอาชนะคนที่มีพรสวรรค์เรื่องความจำได้

It’s not that I’m so smart, it’s just that I stay with problems longer. Most people say that it is the intellect which makes a great scientist. They are wrong: it is character.—Albert Einstein

เราฉลาดขึ้น ในตอนที่เราทำผิดพลาด

Whether you think you can or think you can’t — you’re right.—Henry Ford

ทัศนคติมีผลทำให้สมองของคนแต่ละกลุ่มตอบสนองต่อความผิดพลาดแตกต่างกัน กลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ กับกลุ่มคนที่คิดว่าความฉลาดเป็นสิ่งที่ตายตัว

เมื่อเราทำผิดพลาด มันจะมี Synapse ถูกส่งออกไป Synapse คือสัญญาณไฟฟ้าเคลื่อนที่ในส่วนของสมองที่เกิดการเรียนรู้ นักวิจัยพบว่ามีสัญญาณตอบสนองเกิดขึ้น 2 แบบคือ

  • การตอบสนอง ERN หรือ Ne คือสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเมื่อสมองเราเกิดความขัดแย้งระหว่างความถูกต้องและความผิดพลาด และสัญญาณมันจะเกิดขึ้นไม่ว่าคนๆ นั้นจะรู้ตัวว่าทำผิดพลาดหรือไม่ก็ตาม
  • การตอบสนอง Pe คือสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเมื่อเราสนใจในความผิดพลาด มันจะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ตัวว่าเราทำผิดพลาดและพยายามแก้ไขมัน

คนที่คิดว่าความฉลาดเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ มักจะคิดว่า ถ้าเจอปัญหา ก็จะพยายามให้มากขึ้น หรือ ถ้าทำผิดพลาด ก็จะเรียนรู้และแก้ไข ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่คิดว่าตัวเองจะฉลาดมากขึ้นได้ ที่มักจะไม่ใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้ ทำให้เกิดปัญหาในโรงเรียนได้ ถ้านักเรียนคิดว่าความฉลาดเป็นสิ่งที่ตายตัว เค้าก็จะคิดว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่า หลังจากที่สอบไม่ผ่าน ก็จะไม่พยายามอีกต่อไป

เมื่อเราทำผิดพลาด เมื่อเราเจอปัญหา สมองเราจะเติบโตขึ้น ทำให้เราฉลาดมากขึ้น ดังนั้นเราควรจะรู้สึกดี คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เพราะเกิดมามีสมองที่ดีกว่า แต่เป็นเพราะคนนั้นเค้าพยายามต่อไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะเจอปัญหา

I’ve missed more than 9000 shots in my career. I’ve lost almost 300 games. 26 times, I’ve been trusted to take the game winning shot and missed. I’ve failed over and over and over again in my life. And that is why I succeed. —Michael Jordan

และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ความเร็วไม่ใช่สิ่งสำคัญ มันอยู่ที่การใช้เวลาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง คณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่การคำนวณ ไม่ใช่แค่การจำ แต่ยังมีรูปแบบ การมองในหลายๆ แบบ มองหาความสัมพันธ์

I was, and still am, rather slow. I need time to seize things because I always need to understand them fully. —Laurent Schwartz

จำไว้ว่าคะแนนสอบหรือเกรดมันไม่มีผลอะไรกับเรา เราอยากทำอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ เราสามารถฉลาดมากขึ้นได้เรื่อยๆ เมื่อเจอปัญหา เมื่อทำผิดพลาด นั่นแหล่ะคือตอนที่เราฉลาดขึ้น ไม่ต้องรีบ ไปช้าๆ ทำความเข้าใจ มองในหลายรูปแบบ ไม่ต้องตามหรือเปรียบเทียบกับคนอื่น

References

An Evaluation of the Left-Brain vs. Right-Brain Hypothesis with Resting State Functional Connectivity Magnetic Resonance Imaging

Exploring the neural correlates of visual creativity

The Brain’s Left and Right Sides Seem to Work Together Better in Mathematically Gifted Middle-School Youth

The real reason for brains

www.nicetofit.com